
ล่าสุด น.ส.ปริมระตา ใจสุข อายุ 30 ปี เจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าวและเป็นผู้บาดเจ็บเปิดใจเล่าเหตุการณ์ให้ทีมข่าวฟังว่า ในวันเกิดเหตุ (23 สิงหาคม 2561) เป็นวันเปิดร้านวันแรก โดยคู่กรณีเป็นเจ้าของคลินิกอีกแห่งหนึ่งในซอยเพชรเกษม 63 ได้พาพวกเป็นผู้หญิงหลายคน ผู้ชาย1 คนมาที่หน้าร้าน พยายามหาว่าตนส่งสายเข้าไปสืบราคาคอร์ส แต่ไม่เป็นความจริง เพราะคนที่ไปถามราคาคอร์ส เป็นลูกค้าที่ตนไม่รู้จักและเพิ่งมาใช้บริการวันนั้นเป็นวันแรก แต่คู่กรณีไม่เชื่อ ตนจึงเชิญให้มาดูที่คลินิก ก่อนที่คู่กรณีจะยกพวกมาหาตนที่คลินิก
ระหว่างนั้น ตนกำลังประชุมสรุปงานและพยายามเชิญเข้ามาข้างใน แต่คู่กรณีและเพื่อนไม่ยอมเข้ามา จึงไปยืนคุยกันตรงที่ประตู ตนก็ได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อลูกค้าคนนั้น เพื่อให้ยืนยันว่าไม่ได้เป็นสายให้กับตน แต่ลูกค้าไม่ได้รับ ก่อนที่จังหวะตนเผลอ คู่กรณีจึงกระชากศีรษะตนและให้พวกรุมทำร้ายร่างกาย ทั้งตบศีรษะ กระทืบศีรษะและท้อง ก่อนภาพดับและจำอะไรไม่ได้ เมื่อตนรู้ตัวอีกที ก็พบว่าแฟนหนุ่มชาวต่างชาติของตนถูกชายที่ใส่หมวกกันน็อคต่อย ขณะที่ตนเองก็ถูกกระชากถอดเสื้อผ้าขาด จนตนอับอาย

หลังเกิดเหตุลูกจ้าง 2 ใน 4 คน ได้มาขอลาออกกับตนทันที โดยบอกว่ากลัวมาก ไม่กล้ามาทำงาน เหตุที่เกิดขึ้นกระทบทั้งร่างกาย จิตใจ รวมทั้งธุรกิจ เพราะว่าไม่มีลูกจ้างกล้ามาทำงานด้วย ยืนยันว่าแฟนคู่กรณีเป็นผู้มีอิทธิพลย่านวัดม่วง ซอยเพชรเกษม 63 เพราะตนกับคู่กรณีเคยตกลงใจจะเปิดคลินิกเสริมความงามร่วมกันในซอบเพชรเกษม 63
โดยตนเป็นผู้ลงทุน เกือบ 2 ล้านและจะให้คู่กรณีร่วมหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์ และหากผลประกอบการดีก็คุยกันว่าจะเพิ่มให้เป็น 40 เปอร์เซ็นต์ กระทั่งเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตกลงการทำธุรกิจร่วมกันไม่ได้ จึงตัดสินใจแยกย้าย แต่แฟนหนุ่มของคู่กรณีกลับมาข่มขู่ทำร้ายและขู่ฆ่าตน จนต้องย้ายมาทำคลินิกที่นี่ ขณะที่คู่กรณีก็ทำคลินิกเป็นของตนเอง
นางปริมระตา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อมูลทั้งหมดให้พนักงานสน.บางบอนหมดแล้ว และพรุ่งนี้จะไปนำผลวินิจฉัยร่างกายและคลิปจากกล้องหน้ารถไปมอบให้ตำรวจเวลา 14.00 น. ด้วย สำหรับอาการตอนนี้นิ้วก้อยบวม ช้ำ อักเสบและศีรษะกระทบกระเทือน ปวดหัวมาก และกลัวมาก ขณะที่ทางด้าน พ.ต.อ.ณรัช มูลศาสตรสาทร ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล บางบอน ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบปากคำผู้เสียหาย และพยานที่เห็นเหตุการณ์ เพื่อเตรียมแจ้งข้อหาเบื้องต้นกับผู้ก่อเหตุว่า ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บก่อน เพราะต้องรอผลวินิจฉัยจากแพทย์ที่รักษาประกอบการพิจารณาว่า จะต้องแจ้งเพิ่มเป็นข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้บาดเจ็บสาหัส เพิ่มหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คดีนี้รู้ตัวผู้ก่อเหตุชัดเจนยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแน่นอน ทั้งยืนยันไม่มีใครเป็นผู้มีอิทธิพล หากผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี ไม่มีละเว้น.
คลิป
คลิปจาก ข่าวดัง เฟสบุ๊ค
ที่มา : siamnews
0 ความคิดเห็น